เฮอร์เบิร์ต แชปแมน ตำนานกุนซือ แห่งอาร์เซน่อล
เฮอร์เบิร์ต แชปแมน เป็นผู้ยกสถานะของการจัดทีมฟุตบอลไม่ว่าจะเป็นที่สโมสรฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ หรือที่ อาร์เซน่อล ก็ตาม เขาสร้างทีมได้อย่างยอดเยี่ยมจนยกระดับทีมให้กลายมาเป็นแชมป์ลีกสูงสุดอังกฤษ 5 สมัย แบ่งเป็นฮัดเดอร์สฟิลด์ 2 สมัย และอาร์เซน่อล 3 สมัย ในช่วงยุคทศวรรษที่ 20-30 โดยเฉพาะการปูรากฐานความสำเร็จให้อาร์เซน่อลกลายเป็นมหาอำนาจลูกหนังเหมือนเช่นลิเวอร์พูลในยุคทศวรรษที่ 80
แม้แชปแมนในวัย 55 ปีจะเสียชีวิตด้วยโรคปอดบวมขณะดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีมอาร์เซน่อลอยู่ แต่เขาก็สะสมเกียรติประวัติอันน่าทึ่งไว้เป็นตำนานเล่าขาล
ตอนเป็นนักเตะฝีเท้าแชปแมนไม่โดดเด่นนัก ทว่าก้าวขึ้นมาฉายแววในฐานะกุนซือเอก ไม่ว่าจะเป็นการคุมวินัยลูกทีม, ความคิดล้ำสมัย, ความสามารถในเชิงจิตวิทยาในการโน้มน้าวจิตใจ เป็นต้น
เมื่อครั้งเริ่มเส้นทางเป็นกุนซือกับทีมนอร์ทแฮมป์ตัน แชปแมนก็สร้างความตื่นตาตื่นใจให้แฟนลูกหนังด้วยการเซ็นสัญญาว่าจ้างแฟนนี่ วอลล์เด้น นักเตะร่างจิ๋วที่สูงเพียง 5 ฟุต 2 นิ้ว และรวมไปถึงตอนย้ายมาคุมทีมอาร์เซน่อลในการซื้อตัว ชาร์ลี บัคคั่น ด้วยข้อเสนอพิเศษไม่เหมือนใครในยุคนั้น โดยสนนราคาที่ 2,000 ปอนด์ บวกกับถ้าบัคคั่นทำประตูได้ก็จะมีมูลค่าเพิ่มประตูละ 100 ปอนด์
แชปแมน คือผู้ทรงอิทธิพลในสนาม นอกจากนั้นแล้วนอกสนามก็ไม่แพ้กัน แชปแมนมีส่วนรุกเร้าคณะกรรมการขนส่งมวลชนให้เปลี่ยนชื่อสถานีรถไฟใต้ดิน กิลสพาย ที่อยู่ใกล้สนามไฮบิวรี่ ให้ชื่อว่า “อาร์เซน่อล” จนเป็นผลสำเร็จ
แชปแมนเป็นคนเคร่งศาสนา พลังบารมีเขาเปี่ยมล้น เปลี่ยนห้วงเวลาให้ล้ำสมัยจนโลกประจักษ์ก็คือ การทดลองเล่นฟุตบอลสีขาว, การติดปุ่มใต้รองเท้า, การเคลือบรองเท้าให้เล่นได้ทุกสภาพอากาศ, การเปิดไฟส่องสนาม
แต่สิ่งสำคัญที่สุดเป็นยอดยุทธวิธีที่โลกรู้จักกันในปัจจุบัน คือการเป็นต้นตำรับของตำแหน่ง “สต๊อปเปอร์ เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ” ซึ่งเป็นการจัดแนวรบใหม่เพื่อรับมือกับกติกาล้ำหน้า นอกจากนั้นแล้วยังมีสายตาที่เฉียบแหลมสำหรับการเสริมทัพ โดยจ่ายเงินซื้ออเล็กซ์ เจมส์(9,000 ปอนด์), เดวิด แจ็ค(11,000 ปอนด์) วิล์ฟ ค็อปปิ้ง(6,000 ปอนด์) และการได้ตัวเอ็ดดี้ แฮปกู้ด กับ คลิฟฟ์ บาสติน ในราคาสุดถูกซึ่งทั้งหมดนี้มีส่วนในความยิ่งใหญ่ของอาร์เซน่อลเลยทีเดียว
แม้เฮอร์เบิร์ต แชปแมน จะจากโลกนี้ไปเนิ่นนานเกือบ 90 ปีแล้ว รูปปั้นของเขายังคงตั้งตระหง่านในห้องโถงของสนามไฮบิวรี่ รวมไปถึงที่หน้าสนามเอมิเรสต์ สเตเดี้ยม รังเหย้าแห่งใหม่ของ “ไอ้ปืนใหญ่” อาร์เซน่อลอีกด้วย
ชีวิตของเขายังเป็นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง จนกลายเป็นหนังสือชีวประวัติโดยฝีมือเรียบเรียงของ สตีเฟ่น สตัดด์ และมีบทกวีชื่อ The Lost Captain โดยโทมัส โมลต์ ก็กล่าวถึงเขาเช่นกัน
ขอบคุณและติดตามข่าวได้ที่ ข่าวอาร์เซน่อล
