สรุปผล “พรีเมียร์ลีก อังกฤษ” สรุปผล ปี 19/20 แชมป์, UCL, EUROPA League, Championship
สรุปผล “พรีเมียร์ลีก อังกฤษ” รายการฟุตบอลอันดับหนึ่งของโลกประจำฤดูกาล 2019-20 ปิดฉากลงไปสดๆ ร้อนๆ เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา โดยมีไฮไลต์อยู่ที่ทีมใหญ่ 6 ทีมของตาราง ประกอบไปด้วย “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล, “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้, “ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี, “ไก่เดือยทอง” ทอตแนม ฮอตสเปอร์, “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล บวกด้วย “จิ้งจอกสยาม” เลสเตอร์ ซิตี้ รวมถึงทีมในโซนตกชั้นนั่นคือ “เดอะ เชอร์รีส์” เอเอฟซี บอร์นมัธ, “แตนอาละวาด” วัตฟอร์ด และ “นกขมิ้นสีเหลืองอ่อน” นอริช ซิตี้
อันดับ 1 : ลิเวอร์พูล 99 คะแนน
หงส์แดง สามารถลบฝันร้ายจากฤดูกาล 2018/19 ทำแต้มได้ถึง 97 คะแนน แต่ยังดีไม่พอจะได้แชมป์พรีเมียร์ลีก แพ้ แมนฯซิตี้แค่ 1 คะนน โดย ทีมเรือใบ ทำได้ 98 คะแนน ครองแชมป์ฤดูกาลดังกล่าว
ปีนี้ลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ สามารถทำผลงานได้ดีอย่างมาก โดยสามารถการันตีตำแหน่งแชมป์ได้ตั้งแต่จบเกมนัดที่ 31 ทำลายสถิติของ ปีศาจแดง ของ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน สามารถได้แชมป์ในเกมนัดที่ 37 ยุติการรอคอยตำแหน่งแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษยาวนานถึง 30 ปี
อันดับ 2 : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 86 คะแนน
ลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา มีลุ้นคว้าแชมป์ 3 สมัยติดต่อกันเป็นทีมที่ 2 ต่อจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (1998-99 ถึง 2000-01 และ 2006-07 ถึง 2008-09) แต่การเสีย เอเมอริก ลาปอร์กต์ เสาหลักในแนวรับคนใหม่หลังการอำลาของ แว็งซ็องต์ กอมปานี ที่เจ็บหนักจนต้องพักยาวตั้งแต่นัดที่ 4 ทำให้เกมรับเสียประตูง่ายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แพ้ นอริช ซิตี้ ทีมน้องใหม่ 2-3 แพ้คู่แข่งแย่งแชมป์อย่าง ลิเวอร์พูล รวมถึงแพ้ วูล์ฟแฮมป์ตัน และ แมนฯ ยูไนเต็ด ทั้งเหย้า-เยือน ในขณะที่ “หงส์แดง” แรงดีไม่มีตก การันตีแชมป์ตั้งแต่นัดที่ 31
ด้านแนวรุกของทีมยังทำผลงานที่ดีตามมาตรฐานของ เป็ป โดยยิงได้ถึง 102 ประตู มากที่สุดในลีก และมีนักเตะถึง 5 คนที่ยิงได้อย่างน้อย 10 ลูกใน 1 ซีซั่น (ราฮีม สเตอร์ลิง 20, เซร์คิโอ อเกวโร 16, กาเบรียล เชซุส 14 , เควิน เดอ บรุนด์ 13 , ริยาด มาห์เรซ 11)
อันดับ 3 : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 66 คะแนน (ประตู +30)
ต้องบอกว่า ลุ่มๆ ดอนๆ สำหรับทีมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ เปิดตัวดีนัดแรกถล่มเชลซีถึง 4-0 แต่หลังจากนั้นเอาแน่นอนอะไรไม่ได้ จนกระทั้งการมาถึงของ บรูโน่ เฟอร์นันเดส เพลย์เมกเกอร์ ชาวโปตุกีส จาก สปอร์ติง ลิสบอน ค่าตัวเบื้องต้น 47 ล้านปอนด์ และอาจจะไปถึง 68 ล้านปอนด์ หากนักเตะสามารถนำทีมปีศาจแดงประสบความสำเร็จตามเงือนไข
บรูโน่ ทำให้บรรยากาศในทีมเปลี่ยนไป มีความเป็นผู้นำ ความสามารถหลากหลาย ทั้ง ยิงไกล, ฟรีคิก และจุดโทษ แถมยังมีวิสัยทัศน์ในการเล่นที่ดีเยี่ยม พลิกเกมจากรับเป็นรุก เปิดบอลให้เพื่อนร่วมทีมได้เปรียบ ความขยันทั้งวิ่งขึ้นลง และที่สำคัญสามารถนำทีม ปีศาจแดง ไปเล่น ยูฟ่า แชมป์เปี้ยน ในฤดูกาลหน้าได้ด้วยอันดับ 3
อันดับ 4 : เชลซี 66 คะแนน (ประตู+15)
ต้องบอกว่าผ่านฤดูกาลนี้มาแบบ ทุลักทุเล สำหรับนายใหม่แต่เป็นเด็กเก่า อย่าง แฟรงค์ แลมพาร์ด ทำเชลซีฤดูกาลเจอกับปัญหามากมาย อาซาร์ต อำลาทีม โดยเป็นทาง เรอัล มาดริด แสดงความต้องการตัว อาซาร์ต ทำให้นักเตะไม่ทุ่มเทให้กับทีมเหมือนเคย จำเป็นต้องขาย บวกกับเจอปัญหาสั่งห้ามซื้อนักเตะช่วงซัมเมอร์ก่อนเปิดฤดูกาล ทางเดียวที่เดินได้ คือ ใช้นักเตะเก่า และเด็กปั้นของสโมสร
แลมพาร์ด ประเดิมช่วงเปิดฤดูกาลได้อย่างยากลำบาก แพ้นัดแรกให้กับ แมนยู 4-0 แต่หลังจากนั้นทีมเริ่มปรับตัวได้ ดันเด็กดาวรุ่งอย่าง แทมมี อับราฮัม, เมสัน เมาท์, คัลลัม-ฮัดสัน โอดอย รวมไปจนถึง คริสเตียน พูลิซิช ฝ่าทีมดังร่วมลีก ขึ้นมาเกาะกลุ่มท็อปโฟร์อยู่นานร่วมค่อนซีซั่น เป็นที่น่าสังเกตุว่า ทีมหนุ่มไฟแรงของ แลมพาร์ด ไม่นักเตะคนไหนเลยที่โดนใบแดงในฤดูกาลนี้สุดท้ายสามารถประคองนำทีมเข้าป้ายในอันดับที่ 4 ไปลุยศึก ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ได้ตามเป้าหมาย
อันดับ 5 : เลสเตอร์ ซิตี้ 62 คะแนน
การขายหัวใจในแนวรับอย่าง แฮร์รี แม็กไกวร์ ไปให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัวเป็นสถิติของกองหลังที่ 80 ล้านปอนด์ ไม่ส่งผลกระทบมากนัก เมื่อ ชักลาร์ โซยุนชู ที่อยู่กับทีมมาก่อนหน้านี้ ก้าวขึ้นมาทดแทนได้อย่างไร้รอยต่อ จน เลสเตอร์ ซิตี้ แอบมีลุ้นแชมป์อีกครั้ง เหมือนที่เคยสร้างปาฏิหาริย์เมื่อฤดูกาล 2015-2016
ลูกทีมของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ขึ้นมาอยู่อันดับ 2 แบบเซอร์ไพรส์ หลังผ่านไป 16 นัด ซึ่งพวกเขาชนะได้ถึง 12 นัด และยังเป็นการคว้าชัย 8 นัดรวด ตั้งแต่เกมที่ 9-16 อีกด้วย แต่เมื่อเจอของจริงในเกมที่ 18-19 พวกเขาก็บุกไปแพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-3 ต่อด้วยแพ้ ลิเวอร์พูล คาบ้านแบบหมดรูป 0-4 ประกอบกับ เจมี วาร์ดี ดาวยิงตัวเก่งก็มีช่วงที่ปืนฝืดไปถึง 10 นัดติด ทำให้โอกาสลุ้นแชมป์ค่อยๆ แปรสภาพมาเป็นการลุ้นตั๋วยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก
และเหมือนโชคชะตาจะลิขิตให้ “จิ้งจอกสยาม” ต้องมาแย่งชิงท็อปโฟร์กับ “ปิศาจแดง” ในนัดปิดฤดูกาล เมื่อทั้งคู่มีแต้มห่างกันแค่ 1 คะแนนก่อนลงสนาม
แต่สุดท้าย เลสเตอร์ ก็ไม่สามารถนำตั๋วยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก มามอบเป็นของขวัญวันเกิดให้กับ “บิ๊กต๊อบ” อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานสโมสรได้สำเร็จ เมื่อถูก แมนฯ ยูไนเต็ด บุกมาชนะถึงถิ่น 2-0 ขณะที่ เชลซี ก็ชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน 2-0 เลสเตอร์ จึงจบที่อันดับ 5 ได้ไปลุยเพียงแค่ยูโรปาลีกเท่านั้น
อันดับ 6 : ทอตแนม ฮอตสเปอร์ 59 คะแนน
ฤดูกาลที่ผ่านมา 2018/19 สเปอร์สทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ได้เข้าชิง UCL กับ ลิเวอร์พูล ในพรีเมียร์ลีกได้ถึงอันดับ 4 ถ้าเทียบกับปีนี้แล้วถือว่า ทีมไก่เดือยทองล้มเหลว
ทอตแนม ฮอตสเปอร์ ออกสตาร์ตซีซั่นได้ย่ำแย่ ด้วยการเก็บชัยชนะเพียง 3 จาก 12 เกม นั่นจึงทำให้บอร์ดบริหารตัดสินใจปลด เมาริซิโอ โปเชตติโน ออกจากการเป็นกุนซือ และจ้าง โชเซ มูรินโญ มาเป็นผู้จัดการทีมแทน ซึ่งหลังการเข้ามาของมูรินโญ แฟนสเปอร์สเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลง แต่ผลงานต้องมาสะดุดในช่วงเดือนมกราคม ด้วยปัจจัยความเหนื่อยล้า และนักเตะเจ็บ ทำให้ผลงานหลุดไปจากกลุ่มบนของตาราง ก่อนที่จะกลับมาได้อีกครั้งในช่วงท้ายหลังสถานการณ์โควิด-19 แต่ก็ไม่ทัน ที่จะช่วยให้ไก่เดือยทองคว้าตั๋วไปยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก
ปัจจัยสำคัญที่เปลี่ยนสเปอร์สไปจากฤดูกาลที่แล้ว คือ สเปอร์สมีปัญหานักเตะบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแม้จะไม่ได้เจ็บพักยาวตลอดทั้งฤดูกาล แต่ก็ต้องยอมรับว่า ส่งผลต่อภาพรวมของทีมไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็น แฮร์รี่ เคน ศูนย์หน้าตัวเก่ง รวมไปถึง มุสซ่า ซิสโซโก้, ฮวน ฟรอยด์, แฮร์รี่ วิงส์ และ เอริค ลาเมล่า ด้วยตัวผู้เล่นที่ไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้สเปอร์สชวดการเก็บแต้มไปในหลายต่อหลายเกม
เคราะห์ยังดีที่ปีนี้ ขุมกำลังกองหน้าของสเปอร์ส อย่าง แฮร์รี่ เคน ยังคงรักษามาตรฐานด้วยการยิงประตูไปถึง 17 ประตูในลีก รวมถึง ซอน เฮืองมิน ก็ยังคงช่วยให้ทีมมีมิติเกมรุกได้มาก โดยยิงไป 11 ประตู จึงทำให้ปีนี้ สเปอร์สยังคงยึดอันดับเลขตัวเดียวไว้ได้ แม้จะเป็นอันดับที่ไม่น่าพอใจมากนักก็ตามแต่ก็ยังได้ไปลุยฟุตบอลถ้วยราายการเล็กของยุโรปอย่าง ยูโรปาลีก ชนิดเบียด “หมาป่า” วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอร์ส ด้วยผลต่างประตูได้เสียที่ดีกว่า 3 ลูกเท่านั้น
อันดับ 8 : อาร์เซนอล 56 คะแนน
น่าผิดหวัง สำหรับ อูไน เอเมรี่ เพราะผลงานในการนำ “เดอะ กันเนอร์ส” ออกสตาร์ตซีซั่น 2019-20 มันไม่ดีอย่างที่แฟนบอลคาดหวังเอาซะเลย กับงบประมาณเสริมทัพในช่วงซัมเมอร์ที่ถูกละเลงไปมากกว่า 100 ล้านปอนด์ ถูกตอบแทนด้วยผลงานการคลุกฝุ่นอยู่กลางตารางทำให้ มิเกล อาร์เตตา ถูกดึงเข้ามาทำหน้าที่แทนในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2019
แต่ทว่าผลงานก็ไม่กระเตื้องมากนัก เมื่อมีอัตราการเก็บชัยในพรีเมียร์ลีกเพียงแค่ 35 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม แม้ผลงานในลีกจะไม่ไฉไลอย่างที่คิด แต่อย่างน้อยในฤดูกาลนี้อาร์เซนอลก็ยังไม่จบแบบมือเปล่า เพราะพวกเขายังมีลุ้นในเอฟเอ คัพ ที่เข้าไปยืนรอชิงดำกับ “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี ในวันที่ 1 สิงหาคมนี้
ทีมตกชั้น
อันดับ 18 : เอเอฟซี บอร์นมัธ 34 คะแนน
5 ปีในเวที พรีเมียร์ลีก จนกระทั่งปีนี้ ที่บอร์นมัธ มีผลงานที่ไม่คงที่ แม้จะเอาชนะทีมหัวตารางอย่าง เลสเตอร์ ซิตี้ แต่ผลงานกับทีมระดับเดียวกันกลับทำได้ไม่ดี อีกทั้งหลังจากกลับมาจากช่วงโควิด บอร์นมัธก็ฟอร์มดร็อปลงไป เผชิญกับความพ่ายแพ้แบบรวดๆ ทั้งที่ประคองตัวอยู่กลางตารางมาได้ตลอดในช่วงกลางฤดูกาล
อันดับ 19 : วัตฟอร์ด 34 คะแนน
วัตฟอร์ด มีผลงานออกสตาร์ทปีที่ย่ำแย่ ซึ่งกว่าจะเก็บชัยนัดแรกได้ ก็ต้องรอถึงนัดที่ 12 ที่ทีมบุกเอาชนะ นอริช 2-0 ก่อนที่ผลงานจะดีขึ้นในช่วงกลางฤดูกาล และมีผลงานเด่นคือการเปิดบ้านถล่มลิเวอร์พูล ทีมแชมป์ถึง 3-0 แต่ด้วยผลงานที่ไม่ดีแต่ต้น ประกอบกับฟอร์มมาตกช่วงท้ายฤดูกาล ทีมจึงต้องตกชั้นลงไปในที่สุด
นอกจากนี้ วัตฟอร์ด ยังเซ่นกุนซือดังไปสามคนจากผลงานอันย่ำแย่ คือ ชาวี่ กราเซีย ที่โดนปลดต้นฤดูกาล, ต่อด้วยกีเก ซานเชซ ที่พาทีมชนะได้เพียงนัดเดียว ก่อนที่ ไนเจล เพียร์สัน ที่มาคุมทีมต่อจากกีเก้ จะโดนปลดไปในช่วงท้ายฤดูกาล หลังผลงานอันย่ำแย่หลังช่วงโควิด-19 เป็นอันสิ้นสุด 5 ฤดูกาลติดต่อกันบนลีกสูงสุด
อันดับ 20 : นอริช ซิตี้ 21 คะแนน
แชมป์ เดอะแชมป์เปี้ยนชิป ปี18/19 นอริช ซิตี้ จะมีผลงานชิ้นโบแดง คือ การเปิดบ้านชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 3-2 ในช่วงต้นฤดูกาล แต่ชัยชนะอันงดงามเพียงแมตช์เดียว ไม่สามารถช่วยให้รอดจากการตกชั้นได้ โดยเฉพาะจุดเปลี่ยนสำคัญ หลังจากช่วงคัมแบ็กจากโควิด นอริชไม่สามารถอยากได้แม้แต่คะแนนเดียว โดยแพ้ไปถึงแปดเกมติดต่อกัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ต้องตกชั้นไปเป็นทีมแรก